วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ตอนที่ 5 – แอบหนีไปเที่ยวสเปน

สวัสดีค่ะ แฟนคอลัมน์ทุกท่าน ตลอด 3-4 ตอนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา4เดือนที่ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสไปศึกษาหลักสูตรครูภาษาฝรั่งเศส ณ ศูนย์ภาษา CIFR เมืองรอชฟอรต์ ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่เรื่องของ เมืองรอชฟอรต์ ชีวิตความเป็นอยู่ในโรงเรียน การไปเยี่ยมชมโรงเรียนนายร้อยแซงต์ซีร์ และ การเที่ยวปารีส ด้วย วันนี้ ผู้เขียนยังมีเรื่องเล่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการมีโอกาสได้ไปเที่ยว กรุงมาดริด (Madrid) ประเทศสเปน เป็นเวลา 5 วัน ซึ่งคงจะเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วค่ะ เพราะผู้เขียนกลับมาได้ปีกว่าแล้ว นี่ก็คงต้องนั่งรำลึกจากอัลบั้มภาพถ่ายกันพอสมควรทีเดียว

นับว่าเป็นผลพลอยได้จากการที่ผู้เขียนเคยได้รับทุน IMET ไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 3 ปีก่อน เพราะการไปเรียนครั้งนั้น ผู้เขียนได้ผูกมิตรกับเพื่อนจากหลายประเทศ และสัญญากันไว้ว่าจะแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกันเท่าที่มีโอกาส สำหรับประเทศสเปน ผู้เขียนก็มีเพื่อนอยู่ 2-3 คน ซึ่งพอได้ทราบว่าผู้เขียนมาเรียนที่ฝรั่งเศส พวกเขาจึงชวนให้ไปเที่ยว เพราะไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ผู้เขียนไม่มีปฏิเสธแน่นอน เป็นธรรมดาของคนชอบเที่ยวอย่างผู้เขียนค่ะ เวลาได้ไปไหนที ก็อดจะหาเศษหาเลยไปเที่ยวที่อื่นในละแวกใกล้เคียงไม่ได้ แล้วยิ่งปัจจุบันนี้ การเที่ยวยุโรปนั้นง่ายมาก เวลาไปประเทศในกลุ่มเชงเกน (Schengen) ไม่ต้องใช้วีซ่าใด ๆ อีก สกุลเงินก็ใช้ เงินยูโร เหมือนกัน ดังนั้น หลังจากที่ผู้เขียนเที่ยวปารีสเรียบร้อยแล้ว จึงรวบรวมเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวประเทศสเปนก่อนกลับเมืองไทยสักหน่อยดีกว่า

ครั้งแรก ผู้เขียนลังเลว่า หากจะไปโดยรถไฟ ก็น่าสนใจ เพราะทิวทัศน์ในยุโรปนั้นสวยสุดยอด น่าจะเพลิดเพลินมากกว่าขึ้นเครื่องบิน แต่การเดินทางโดยรถไฟใช้เวลา 13-15 ช.ม. แถมต้องหยุดพักเปลี่ยนล้อ เพราะ 2 ประเทศใช้ขนาดรางรถไฟต่างกัน ผู้เขียนจึงคิดหนัก พอพบข้อมูลสุดท้ายว่า ราคาของรถไฟกับเครื่องบินแทบจะไม่ต่างกันเลย ผู้เขียนจึงตัดสินใจได้ทันที

ผู้เขียนเดินทางพร้อมกับน้องสาวในเย็นวันที่ 7 ก.พ. 49 จากสนามบิน Orly ทางใต้ของปารีส ใช้เวลาเดินทาง 2 ช.ม.ก็ถึงสนามบิน Barajasกรุงมาดริด ซึ่งเพิ่งเปิด Terminal 4 ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแค่ 2 วันก่อนที่ผู้เขียนจะไปเท่านั้น ทุกอย่างก็เลยใหม่เอี่ยมไปหมด พอไปถึง เพื่อนของผู้เขียนซึ่งเป็นทหารอากาศหนุ่มรูปหล่อ มีนามว่า Juan (ฮวน) ก็มารับถึงหน้าประตู (อ๊ะ! ไม่ต้องลุ้นเลยค่ะ เพราะเค้าแต่งงานแล้ว !!) ผู้เขียนซึ้งน้ำใจเพื่อนมาก เพราะเค้าและภรรยาชื่อ Rosana อุตส่าห์ลางาน 5 วันเพื่อนำเที่ยวโดยเฉพาะ แถมยังให้ที่พัก ขับรถพาเที่ยวตลอดเลย น่ารักจริง ๆ ค่ะ (ถ้าไม่พาไป เราต้องตายแน่ ๆ เพราะพูดภาษาสเปนไม่ได้ แต่อ่านป้ายตามถนนพอรู้เรื่องนะคะ เพราะใกล้เคียงกับภาษาฝรั่งเศสมาก)

เช้าวันแรก ฮวนพาเรามุดลงรถไฟใต้ดินซึ่งมีความสะดวกสบายระดับน้อง ๆ ของปารีสทีเดียวค่ะ (เรื่องนี้ ผู้เขียนยกให้ปารีสเป็นที่หนึ่งในดวงใจอยู่แล้ว) ไปโผล่ที่ Estación Puerta de Atocha “หัวลำโพง” ของมาดริด ในสถานีอันกว้างขวางนี้ มีสวนแบบ tropical ประดับด้วยไม้เมืองร้อนสำหรับเป็นที่พักผ่อนสวย ๆ อุ่น ๆ ให้แก่ผู้เดินทางสัญจรด้วยนะคะ ความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ จากนั้น เราก็ไปตะลุยพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีอยู่หลายแห่ง แต่เราเลือกไปเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือ Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofía ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ตั้งชื่อตามพระนามของสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ที่นี่มีผลงานของศิลปินชื่อดังอย่าง Van Gogh, Dalí, Picasso เป็นต้น อาคารของพิพิธภัณฑ์นี้จึงเป็นแบบสมัยใหม่ คือ ด้านนอกส่วนใหญ่ทำด้วยกระจก ต่อไปคือ Museo del Prado ซึ่งเป็นแหล่งรวมภาพวาดของศิลปินยุคศตวรรษที่ 17-18 มากมาย ทำให้ผู้เขียนเริงใจอย่างมาก เพราะชอบศิลปะแนวนี้อยู่แล้ว มีภาพหนึ่งที่โด่งดังมากและผู้เขียนก็ประทับใจมากเช่นกัน ชื่อภาพ “Las Meninas” โดยศิลปิน “Velázquez” ลองชมดูสิคะ แล้วลองศึกษาดูว่าน่าประทับใจอย่างไร จากนั้น เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเที่ยวชมเมืองบ้าง ฮวนพาเราไปดูจุดสำคัญ ๆ ของมาดริด เช่น Congreso de los Diputados (สภาผู้แทนราษฎร) และ Plaza de la Cibeles ซึ่งเป็นวงเวียนสำคัญ เป็นจุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมาดริด มีอนุสาวรีย์น้ำพุอยู่ตรงกลาง และมีอาคารสำคัญ ๆ ประจำอยู่ทั้ง 4 มุม ได้แก่ Banco de España (ธนาคารแห่งชาติสเปน) Sede del Ejército (กองบัญชาการทหารบก) Palacio de Comunicaciones (ที่ทำการใหญ่ไปรษณีย์) และ Casa de América (ศูนย์วัฒนธรรมทวีปอเมริกา) และวงเวียนนี้ยังเป็นแหล่งที่บรรดา “สาวกทีม Real Madrid” ใช้ฉลองชัยเป็นประจำอีกด้วย

วันที่สอง ฮวนพาเราไปชม Palacio Real พระราชวังที่ใช้ประกอบพระราชพิธี (ส่วนพระราชวงศ์ประทับอยู่ที่ Palacio de la Zarzuela นอกกรุงมาดริด) ซึ่งเปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้นักท่องเที่ยวเข้าชม มีพิพิธภัณฑ์แสดงของใช้ในวัง รวมทั้ง Real Armería ห้องแสดงอาวุธชุดเกราะโบราณด้วย ส่วนอุทยานและบริเวณรอบๆ ก็สวยอลังการมาก หน้าพระราชวังมีลานกว้าง Plaza de la Armería ซึ่งถ้ามองไปฝั่งตรงข้ามจะเป็น Catedral de la Almudena ซึ่งเป็นมหาวิหารสมัยใหม่ เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แต่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ.1993 นี้เอง ทั้งภายนอกและภายในโอ่อ่าสวยงามเหลือเกินค่ะ ด้านหน้ามีรูปปั้นของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 เพราะพระองค์ได้เสด็จมาทรงทำพิธีเปิดมหาวิหารแห่งนี้ สำหรับวันนี้ ผู้เขียนไปเที่ยวได้ไม่เท่าไหร่ เพราะพระราชวังใหญ่โตมาก เดินจนเหนื่อยเลยค่ะ

วันที่สาม เราก็เดินกันอีก วันนี้ตะลุยสถานที่สำคัญในมาดริด เริ่มจาก Plaza Mayorัตุรัสสำคัญแห่งหนึ่งของมาดริด ตรงกลางมีพระบรมรูปพระเจ้า Philip III ทรงม้า ต่อด้วย Parque del Buen Retiro สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในมาดริด มีคนมาพักผ่อนกันมากมาย ภายในมีทะเลสาปจำลองลงไปพายเรือเล่นได้ มี Palacio de Cristal พระราชวังสร้างจากแก้วคริสตัล และมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก ก่อนจะเดินไปชม Puerta de Alcalá ประตูชัยแห่งมาดริด ซึ่งอยู่ติดกับสวนสาธารณะนี้ จากนั้นก็ไล่ไปตาม ถ. Alcalá ซึ่งเป็นถนนสายยาวที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดไปจนถึง Puerta del Sol หรือ Gate of the Sun ซึ่งเป็นย่านการค้าที่นิยมใช้เป็นที่นัดพบ เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นมาดริดก็ว่าได้ สถานที่สำคัญในบริเวณนี้ มีพระบรมรูปพระเจ้า Carlos III และ Kilometre Zero (หลักกิโลศูนย์) ที่สำคัญคือ รูปปั้น “Oso y Madroño” หรือ “The Bear and the Madrona” สัญลักษณ์ของกรุงมาดริด เป็นรูปหมียืนเกาะต้นไม้ เวลาวัยรุ่นนัดกัน ก็จะบอกว่าเจอกันที่ “หน้าหมี” หรือ “หลังหมี” ก็สุดแล้วแต่ค่ะ จากนั้น เราก็เดินเที่ยวสะเปะสะปะไปอีกหลายที่ ได้ภาพบรรยากาศและชาวเมืองมาเยอะแยะ ตกเย็นก็ไปเดินห้างสรรพสินค้า ช็อปปิ้งเล็กน้อย ทานอาหารแบบสเปน แล้วก็กลับค่ะ

วันที่สี่ ฮวนกับโรซานาขับรถพาออกจากบ้านแต่เช้าไปทานอาหารเช้าแบบสเปน สไตล์ปาท่องโก๋ ที่เรียกว่า Churros (ชูร์โรส) และ Porras (ปอร์รัส) โอ้โห...อร่อยมากที่สุด พูดแล้วก็น้ำลายไหล อย่างที่มีบางร้านมาทำขายในเมืองไทยสู้ไม่ได้เลยค่ะ เวลาทาน ก็ทานกับช็อกโกแลตร้อน ๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะมันจืด ๆ เหนียว ๆ ชอบกลค่ะ พอทานอาหารเช้าเสร็จ เพื่อนผู้แสนดีก็ขับรถพามุ่งหน้าไปทางใต้ แวะเที่ยว Palacio Real de Aranjuez ซึ่งเป็นอดีตพระราชวังฤดูร้อนไกลออกไป 47 กม.จากมาดริด จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังเมือง Toledo เมืองหลวงเก่าของสเปน ห่างจากมาดริด 70 กม.ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนเขา มองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่ว และยังคงสภาพตึกรามบ้านช่องโบราณที่สวยงามไว้ทั้งหมด ถ่ายรูปกลับมาเพียบค่ะ


การไปเที่ยวกรุงมาดริดครั้งนี้ นับว่าได้รสชาติทีเดียว เพราะเจ้าของสถานที่นำเที่ยวเอง ทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบชาวเมืองเค้าดูบ้าง เสียดายที่ไม่ได้ไปชมการแสดงขึ้นชื่อของสเปนอย่าง Bullfights เพราะไม่ใช่ช่วงฤดูกาล แต่ก็ดีค่ะ ไม่งั้นคงได้น้ำตาเล็ดกันแน่ ๆ

เช้าวันสุดท้าย 12 ก.พ. 49 ฮวนกับโรซานาก็พาผู้เขียนกับน้องสาวไปส่งที่สนามบินกลับถึงปารีสอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทยในอีก 2-3 วันต่อมา เป็นอันปิดฉากการเดินทางของผู้เขียนสำหรับการไปศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส (หลายคนแซวว่า ผู้เขียนเหมือนไปเที่ยวเป็นหลักโดยใช้เรื่องเรียนบังหน้า !! ซึ่งไม่จริ๊ง..ไม่จริงนะคะ)

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนต้องขอกราบขอบพระคุณ ผู้บังคับบัญชาทุกท่าน และ ผอ.กอศ. รวมถึงพี่ ๆ กองวิชาอักษรศาสตร์ และขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคน ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้ผู้เขียนได้มีโอกาสดี ๆ ในการไปศึกษาหาความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในต่างประเทศ จนผู้เขียนสามารถนำประสบการณ์มาเแบ่งปันแด่ทุกท่าน และยังได้นำไปถ่ายทอดแก่ นนร.เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอีกด้วย หากผู้เขียนมีโอกาสดี ๆ เช่นนี้อีก จะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกนะคะ สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ บ๊าย บาย ...